และพุทธทำนาย พ.ศ. 2555 - 2560
คำเตือนเรื่องภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
1.บทนำ - บทส่งท้าย
สิ่งที่สำคัญกว่าการตายหรือการรอดชีวิตจากภัยพิบัติ คือ การเตรียมตัว
ถ้าจะต้องตายก็ขอให้ตายอย่าง ‘เตรียมตัว’ ไม่ใช่ตายอย่าง ‘ลืมตัว’ ไม่ควร
ตายไปอย่างขาดสติโดยไม่ได้ใช้โอกาสแห่งการเกิดเป็นมนุษย์
อันที่จริง ระหว่างการเตรียมตัวตายกับการเตรียมตัวที่จะรอดชีวิตนั้น
แทบไม่แตกต่างกันเลย เนื่องจากคนที่จะรอดชีวิตจากภัยพิบัติใหญ่ในครั้ง
นี้คือคนดี อย่างน้อยคือมีศีล 5 บริสุทธิ์เป็นขั้นต่ำ มีพรหมวิหาร ปล่อยวาง
ในขันธ์ 5 คือกายและจิต มีความเคารพในพระรัตนตรัย ส่วนคนที่คิดว่า
ขอตายในภัยพิบัติดีกว่ารอดชีวิตก็ควรเตรียมตัวตายอย่างเป็นคนดี คือ มีศีล
และมีสติเช่นกันเพื่อมีสุขคติภพเป็นที่ไป ควรจะเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
สำหรับการเดินทางเวียนว่ายตายเกิดอันยาวไกล เพื่อไม่ให้เสียทีที่เกิดมา
พบพระพุทธศาสนา แต่หากเบื่อหน่ายการเวียนว่าย เกิด แก่ เจ็บ ตายที่
วนเวียนซ้ำซากก็ต้องเจริญสติ หรือที่เรียกว่า ‘สติปัฏฐาน’
บางคนอาจเครียดถึงกับคิดฆ่าตัวตายในบางช่วง เช่นคิดว่าในเมื่อคน
ในครอบครัวตายหมดแล้วจะอยู่ไปทำไมตายเสียดีกว่า หากลองมานึกดูว่า
แม้ไม่มีภัยพิบัติใหญ่ อันที่จริงทุกคนก็ต้องตายจากกันไปเป็นธรรมดา การ
พลัดพรากเป็นทุกข์อันมีมาคู่กับการเวียนว่ายตายเกิด การฆ่าตัวตายตามกัน
ไปนั่นจึงไม่ใช่ทางออกแต่กลับเป็นทางเข้าไปสู่วังวนแห่งความยุ่งยาก ผู้ที่
ฆ่าตัวตายจิตใจย่อมเศร้าหมองไม่อาจหวังสุขคติภพได้เลย เป็นบาปกรรม
หนักส่งผลให้ต้องวนเวียนฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่านับครั้งไม่ถ้วน
หนักส่งผลให้ต้องวนเวียนฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่านับครั้งไม่ถ้วน
แทนที่จะมาเสียใจว่าโชคร้ายเกิดมาในยุคภัยพิบัติใหญ่ ควรมองเห็น
โอกาสที่คนยุคอื่นหาได้ยาก นั่นคือการระลึกถึงความตายและไม่ประมาท
ในชีวิต ความจริงทุกคนเกิดมาย่อมต้องตายไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติหรือไม่
บางทีก็อาจตายตั้งแต่ยังหนุ่มสาวแต่เราก็มักจะหลงลืมความจริงข้อนี้ เมื่อ
ได้รู้ว่าอาจมีภัยพิบัติใหญ่และอาจเสียชีวิตในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เป็น
โอกาสดีที่ได้รู้ล่วงหน้า บางคนอาจได้คิดมองเห็นโทษภัยของวัฏสงสาร
อันเปรียบดังมหาสมุทรใหญ่แล้วเร่งรัดตัวเองให้ก้าวหน้าในการสร้างบารมี
และปฏิบัติธรรม เลิกการใช้ชีวิตที่ไร้สาระ เลิกการเบียดเบียนกัน
จากพุทธทำนายระบุว่า ผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติใหญ่ครั้งนี้จะได้พบกับ
ยุคชาววิไล คือยุคแห่งความเจริญรุ่งเรือง จะมีอริยศาสตร์เกิดขึ้น บ้านเมือง
เจริญรุ่งเรือง ผู้คนใส่ใจการบุญกุศลพวกเราทุกคนควรดำเนินตามรอยพระมหาชนก
คือ ไม่ประมาท มีสติเตรียมพร้อม มีความเพียร มีศีลบริสุทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมช่วย
ผู้ที่คิดจะช่วยเหลือตัวเองก่อน ขอศีลและบุญจงรักษาทุกท่าน.
การเตรียมพร้อมรับภัยพิบัติและพุทธทำนาย พ.ศ. 2555 - 2560
คำเตือนเรื่องภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นแล้วและนับวันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเพียงมีใครสักคนได้รอดพ้นจากภัยพิบัติ หรือได้รับประโยชน์จาก
เอกสารฉบับนี้ ผู้เรียบเรียงก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วกับการที่ได้สละเวลาจัดทำ
หากไม่ด่วนเชื่อหรือปฏิเสธ แต่ฉุกคิดลองสืบดูข้อเท็จจริงในอินเทอร์เน็ตก็
จะพบความจริงและคำเตือนเรื่องภัยพิบัติมากมายจากหลากหลายที่มาได้แก่
1. คำพยากรณ์ในพุทธศาสนา พุทธทำนายและพระนักวิปัสสนาหลายๆ
ท่านเตือนภัยพิบัติ พุทธศาสนาจะอยู่ถึง 5,000 ปี แต่จะมีภัยพิบัติ
ใหญ่ในช่วงกึ่งพุทธกาล พ.ศ. 2555 - 2560 (ค.ศ. 2012 - 2017)
2. คำเตือนจากมนุษย์ต่างดาวถึงเรื่องภัยพิบัติใหญ่ หลวงพ่อฤาษีลิงดำและ
พระนักวิปัสสนาอีกหลายท่าน ตลอดจนผู้รู้ระดับด๊อกเตอร์ยืนยันว่ามี
มนุษย์ต่างดาว ให้สังเกตว่ามีการพบเห็น UFO บ่อยขึ้น
3. นักวิทยาศาสตร์ไทยที่ทำงานร่วมกับองค์การนาซ่ายืนยันเรื่องภัยพิบัติ
และบอกว่าต่างประเทศเตรียมตัวรับภัยพิบัติกันแล้ว ปรากฏข่าว
ต่างประเทศในอินเทอร์เน็ตเช่นในเว็บไซต์ Youtube เช่นที่อังกฤษมี
การประชุมนักวิทยาศาสตร์เพื่อรับมือพายุสุริยะ ที่ขั้วโลกเหนือมีการ
สร้างห้องนิรภัยเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช
4. ดร.สมิทธ ธรรมสโรช, ดร.อาจอง ชุมสาย และอีกหลายท่านเตือนเรื่อง
ภัยพิบัติมีแผ่นดินไหว น้ำท่วม สึนามิ โดยมีภาวะโลกร้อนเป็นตัวการ
สำคัญ ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นส่วนแผ่นดินกรุงเทพทรุดตัวต่ำลง คาด
ว่ากรุงเทพจะจมอยู่ใต้น้ำภายในประมาณไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า
5. ในหลวงทรงเตือนเรื่องแผ่นดินไหว และยังทรงเตือนให้รับฟังคำเตือน
ของ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ซึ่งเคยเตือนภัยสึนามิเมื่อปี พ.ศ. 2547
6. นายอัล กอร์ ซึ่งเคยสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของอเมริกา ทำ
สารคดีที่ได้รับรางวัลออสการ์ เรื่องเตือนภัยจากภาวะโลกร้อน
7. ตรวจดูจากวิชาโหราศาสตร์ ดวงดาวร้ายทำมุมกันจึงพยากรณ์ว่าจะมี
ภัยพิบัติเกิดขึ้น โลกจะไม่แตกสลายแต่จะมีคนตายเป็นจำนวนมาก
ระยะภัยพิบัติอาจยาวนานเป็นเวลาประมาณ 5 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2555 -
2560 จุดที่เราต้องระวังเป็นพิเศษคือจุดเริ่มต้นประมาณปี พ.ศ. 2555 - 2556
เพราะคนยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้จึงอาจไม่ได้ระวังตัว ส่วนคนที่เชื่อก็ยังไม่รู้ว่า
เหตุการณ์จะรุนแรงขนาดไหนและจะเริ่มวันไหน แต่มีคำพยากรณ์ว่าคนจะ
กลายสภาพจากเดินเป็นคลาน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะถล่มเป็นทะเล อีกจุด
ที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือเมื่อใกล้ถึงจุดสิ้นสุดภัยพิบัติประมาณปี พ.ศ. 2560
ซึ่งจะเป็นช่วงที่ภัยพิบัติรุนแรงที่สุด ไฟฟ้าจะดับและโลกจะมืดมิดเป็น
ระยะเวลานาน 7 วัน 7 คืน (มีบางท่านแปลความหมายว่า 7 วันเท่ากับ 1
ราตรี ซึ่งจะมืดมิด 7 ราตรีจึงเท่ากับ 49 วัน) หลังจากนั้นจึงเตรียมเข้าสู่ยุค
ชาววิไล จะมีอริยศาสตร์เกิดขึ้น ประชาชนจะผาสุก ส่วนท้ายของเอกสาร
นี้จะแนบข้อมูล “พุทธทำนาย” เกี่ยวกับภัยพิบัติซึ่งเป็นต้นฉบับที่ท่านเจ้า
คุณฯวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และผู้ใหญ่ระดับสูงอีกหลายท่าน ตลอดจน
อาจารย์ที่จุฬาฯ ได้จัดทำตามฉบับที่ไปคัดลอกมาจากศิลาจารึกที่ประเทศ
อินเดีย ท่านสามารถสืบค้นหาข้อเท็จจริงและรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก
อินเทอร์เน็ตเราจะไม่เถียงกันว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
เพราะนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ก็ยังเถียงกันไม่จบ แต่ที่แน่ๆคือภาวะ
โลกร้อนเป็นเรื่องจริงพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ส่วนเรื่องคำเตือนจาก
พระนักวิปัสสนาก็ยากจะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ต้องรอจนกว่าเหตุการณ์จะ
เกิดขึ้น ทั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับศรัทธาความเชื่อของแต่ละบุคคล เอาเป็นว่าถ้า
ใครไม่ประมาทก็เตรียมพร้อม ส่วนใครที่ประมาทก็ไม่ต้องสนใจและไม่
ต้องเตรียมพร้อมใดๆ ผู้เขียนไม่อยากพูดมากซ้ำซากจึงเรียบเรียงเอกสารนี้
แจกจ่ายเฉพาะครอบครัวญาติมิตรและผู้สนใจ ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่
กับบุญกุศลและเส้นทางชีวิตของแต่ละบุคคล
การเตรียมพร้อมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือการเตรียมภายในกับเตรียม
ภายนอก
การเตรียมภายนอกนั้นสามารถที่จะรับภัยพิบัติที่อยู่ในระดับเบา
ถึงปานกลาง แต่สำหรับภัยพิบัติในระดับรุนแรงนั้นต้องมีการเตรียมภายใน
การเผชิญภัยพิบัติครั้งนี้ต้องเตรียมภายนอกและภายในควบคู่กันไป ดำเนิน
ตามรอยพระมหาชนกเป็นตัวอย่าง
ถึงปานกลาง แต่สำหรับภัยพิบัติในระดับรุนแรงนั้นต้องมีการเตรียมภายใน
การเผชิญภัยพิบัติครั้งนี้ต้องเตรียมภายนอกและภายในควบคู่กันไป ดำเนิน
ตามรอยพระมหาชนกเป็นตัวอย่าง
การเตรียมภายในขอกล่าวถึงเพียงสั้นๆ คือการเตรียมจิตและบุญบารมี
ที่ไม่ขอกล่าวมากเพราะเดี๋ยวจะยืดยาวเกินไป ขอให้ท่านไปศึกษาเพิ่มเติม
สำหรับชาวพุทธก็คือการรักษาศีลและฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ฝึกปล่อยวาง
ในขันธ์ 5 คือกายและจิต ในที่นี้จะเน้นกล่าวถึงการเตรียมภายนอกได้แก่
การเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติ คนที่เชื่อและ
ไม่ประมาทก็ควรเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเป็นพิเศษ ส่วนคนที่ยังไม่เชื่อแต่
ถือหลักว่าเราไม่ควรประมาทก็อาจหาเอาของที่มีอยู่แล้วภายในบ้านมาจัดใส่
กระเป๋าเป้แบบสะพายไว้ เมื่อถึงคราวจำเป็นจะได้หยิบคว้าง่าย หากรอถึง
คราวคับขันจึงค่อยคิดทำรายการของที่จำเป็นอาจหาได้ไม่ครบ และชักช้า
ไม่ทันสถานการณ์จนต้องไปต่อคิวอยู่ท้ายขบวนอพยพ ภัยธรรมชาตินั้นไม่
ควรประมาท แม้ในช่วงวันที่เขียนนี้ (14/10/2553) ก็เพิ่งมีข่าวอ่างเก็บน้ำ
แตก ส่วนที่โคราชและหลายจังหวัดน้ำท่วมฉับพลัน ต้องปล่อยน้ำในเขื่อน
ออกมาเพราะกลัวเขื่อนแตกส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มในภาคกลาง ลอง
สมมติว่าหากเกิดเขื่อนศรีนครินทร์หรือเขื่อนสิริกิติ์แตก ถ้าอ่างเก็บน้ำแตก
แล้วจะอพยพอย่างไร ถ้าหากเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลในเขตอ่าวไทยจน
เกิดคลื่นสึนามิเข้ากรุงเทพ ภาคกลาง และภาคใต้ หากต้องอพยพออกจาก
จังหวัดที่อยู่ภายใน 6 - 12 ชั่วโมงจะทำอย่างไร ถ้าครอบครัวพลัดหลงกัน
จะไปเจอกันที่ไหน ในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นทุกอย่างอาจสับสน ระบบ
การสื่อสารต่างๆอาจล่ม การเดินทางอาจยากลำบากติดขัด ลองนึกถึงช่วง
เทศกาลสงกรานต์ ถ้าทุกคนต่างก็อพยพหนีตายพร้อมๆกันมันจะชุลมุน
ขนาดไหน ไหนจะเกิดความขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม คนที่เตรียมตัวนั้น
ก็อาจดูเหมือนคนบ้าในสายตาของบางคนที่ไม่เตรียมตัว แต่คนที่ไม่เตรียม
ตัวนี่ล่ะที่จะต้องรอคอยความช่วยเหลือและเป็นภาระของผู้อื่น ที่สำคัญคือ
หากภัยพิบัติเกิดขึ้นรุนแรงทั่วโลกพร้อมกัน ทุกคนก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง
ก่อนที่จะไปช่วยเหลือคนอื่น แต่ทุกคนต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
5 ความคิดเห็น:
น่ากลัวมากถ้าเกิดจริง ๆ
อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด
ไม่ต้องไปพะวงให้มากไป
เราเชื่อนะ และก็จะเตรียมตัวด้วย
เริ่มพากันวิตกจริตกันมากแล้ว
อะไรจะเกิดก็เกิด ไม่เห็นต้องมานั่งกลัวนั้นกลัวนี้เลย
สิ่งที่จะเกิดเรารู้สึกด้วยตัวเองได้
อย่าให้ใครมาหลอกเราดีกว่า
เชื่อตัวเราเองที่สุด
รู้ไว้ใช่ว่าใส่บากแบกหาม...รู้ได้เตรียมตัวไว้ก็ไม่เสียหายอะไรถ้ามันเกิดขึ้นจริง แต่ถ้ามันไม่เกิดก็เป็นเรื่องดีมาก ๆ สำหรับทุก ๆ คน
เค้าเตือนเพื่อให้มีสติ ถ้ามันเกิดขึ้นจริง แต่เราไม่ตาย จะลำบากขนาดไหนถ้าหากไม่เตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้าง น้ำท่วมกรุงเทพปีที่ผ่านมา ผมอยู่ระยองตามร้านค้าแทบไม่มีอาหารขาย ยิ่งน้ำดื่มไม่ต้องพูดถึงหมดเกลี้ยง
แล้วถ้ามันเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงกว่านั้น จะทำอย่างไร จะรอภาครัฐมาช่วยก็คงอดตายก่อน
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น